คำเตือน: บล็อกนี้ไม่เหมาะสำหรับคนรักทักษิณ

เพื่อไทย เพื่อทักษิณ คืนพาสปอร์ตนักโทษอาญา กลืนน้ำลาย… ไหนว่าไม่ทำเพื่อใครคนเดียว?

ที่มา: สำนักข่าว T-News

เป็นประเด็นร้อนที่ต้องหยิบมาแจกแจงอย่างละเอียดให้เห็นถึงพฤติกรรมของนายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รัฐมนตรีต่างประเทศว่าด้วยความพยายามอาศัยช่องว่างทางกฎหมายช่วยเหลือพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร จากกรณีที่(เพิ่ง)ออกมายอมรับว่าการกระทรวงการต่างประเทศว่าได้ออกหนังสือเดินทางหรือพาสปอร์ตให้กับพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นที่เรียบร้อย ขณะที่นายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ ชินวัตร ก็เช่นเดิมทำนองไม่รู้ไม่ชี้?!?
ขั้นตอนการออกหนังสือเดินทางให้กับพ.ต.ท.ทักษิณในครั้งนี้ เริ่มจากพ.ต.ท.ทักษิณยื่นคำร้องขอพาสปอร์ตทั่วไปต่อสถานเอกอัครราชทูตไทย ประจำกรุงอาบูดาบี สหรัฐอาหรับเอมิเรสต์ เมื่อวันที่ 25 ต.ค. ที่ผ่านมา

จากนั้นสถานทูตได้ส่งเรื่องมายังกรมการกงสุล กระทรวงการต่างประเทศ ปลัดกระทรวงจึงขอนโยบายจากรัฐมนตรีว่าการ ซึ่งตัวของนายสุรพงษ์ได้พิจารณาตามระเบียบกระทรวงการต่างประเทศ เห็นว่า ไม่มีหน่วยงานใดเคยทำเรื่องให้ปฏิเสธ หรือยับยั้งการขอมีหนังสือเดินทางของพ.ต.ท.ทักษิณ มายังกระทรวงการต่างประเทศตามระเบียบ ข้อ 21 (2) และ (3)

(2) บัญญัติว่า เมื่อได้รับแจ้งว่าผู้ร้องเป็นผู้ซึ่งกำลังรับโทษในคดีอาญา หรืออยู่ระหว่างการปล่อยตัวชั่วคราว หรือเป็นผู้ต้องหาในคดีอาญาที่ได้มีการออกหมายจับไว้แล้ว ซึ่งศาลหรือพนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจเห็นว่าไม่ควรจะออกหนังสือเดินทางให้

(3) บัญญัติว่า เมื่อผู้ร้องเป็นผู้ที่ศาลหรือเจ้าพนักงานซึ่งมีอำนาจตามกฎหมายอื่นสั่งห้ามไม่ให้เดินทางออกนอกราชอาณาจักร

(4) บัญญัติว่า เมื่อผู้ร้องกระทำผิดกฎหมายหรือระเบียบปฏิบัติทางราชการ ซึ่งขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน หรือปิดบังความจริงอันเป็นสาระสำคัญ หรือแสดงเอกสารหลักฐานอันเป็นเท็จในการขอหนังสือเดินทาง หรือไม่อยู่ในฐานะที่จะเดินทางไปต่างประเทศได้ หรือหากเดินทางออกนอกราชอาณาจักร จะเป็นภัยต่อสวัสดิภาพของผู้เดินทางเอง หรือกระทบกระเทือนต่อความมั่นคงปลอดภัย หรือชื่อเสียงและเกียรติภูมิของประเทศไทย

                    ระเบียบข้อ 23 (7) ระบุว่าสามารถยกเลิกหนังสือเดินทางได้หากผู้ถือยังอยู่ในต่างประเทศ และอาจก่อให้เกิดความเสียหายต่อประเทศและต่างประเทศ

ในที่นี้ รมว.ต่างประเทศพิจารณาว่าการอยู่ต่างประเทศของพ.ต.ท.ทักษิณ ไม่ได้ก่อความเสียหายต่อประเทศและต่างประเทศ จึงไม่อยู่ในข่ายอีกเช่นกัน โดยหลังจากพ.ต.ท.ทักษิณยื่นคำร้องวันที่ 25 ต.ค. ในวันรุ่งขึ้นคือวันที่ 26 ต.ค. กระทรวงการต่างประเทศจึงได้ออกพาสปอร์ตเล่มใหม่ให้ทันที

หมายความว่าขั้นตอนทั้งหมดที่ว่ามาเกิดขึ้นภายใน 24 ชั่วโมงเท่านั้น และไม่ได้มีการเปิดเผยให้กับคนไทยที่ในช่วงนั้นกำลังทนทุกข์อยู่กับปัญหาน้ำท่วม ได้รับทราบเลย

จนกระทั่งพรรคประชาธิปัตย์ออกปูดข่าวเรื่องนี้ หลังจากมีข้าราชการในกระทรวงต่างประเทศส่งจดหมายให้ทราบ ซึ่งก็ล่วงเลยมาแล้วในวันที่ 15 ธันวาคม หรือหลังจากที่กระทรวงการต่างประเทศออกหนังสือเดินทางให้พ.ต.ท.ทักษิณไปแล้วเดือนกว่า (ถ้าปชป.ไม่ปูด ก็จะไม่มีคนไทยรู้เลยใช่หรือไม่)

แล้วที่รัฐมนตรีต่างประเทศอ้างว่า ไม่มีหน่วยงานได้คัดค้านหรือยับยั้ง ก็ต้องถามถึงเจตนาที่แท้จริงว่าการดำเนินการทั้งหมดนั้น จงใจที่จะปิดบังหรือไม่ และการดำเนินการอย่างรวดเร็วภายใน 24 ชั่วโมง ก็ย่อมสะท้อนให้เห็นถึงเจตนาดงกล่าวได้เป็นอย่างดี

แบบนี้ถ้าไม่เรียกว่าอาศัยช่องว่างทางกฎหมายช่วยเหลือพ.ต.ท.ทักษิณ แล้วจะให้พูดว่าอย่างไรอีก???

ย้อนรอยกรณีพาสปอร์ตของพ.ต.ท.ทักษิณ

เริ่มจากการถูกยึดพาสปอร์ตแดงหลังการรัฐประหารในปีพ.ศ. 2549 ในรัฐบาลพล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ตามระเบียบกระทรวงการต่างประเทศพ.ศ. 2548 ข้อ 8 ระบุให้นายกฯ รัฐมนตรี และทูต เมื่อพ้นจากตำแหน่งต้องคืนพาสปอร์ตแดงแม้ข้อ 6 (9) มีขอยกเวนให้อดีตนายกฯ รัฐมนตรี และทูตถือครองพาสปอร์ตแดงไว้ได้จนกว่าจะหมดอายุ และกลายเป็นธรรมเนียมที่กระทรวงการต่างประเทศถือปฏิบัติ แต่รัฐบาลพล.อ.สุรยุทธ์สั่งเพิกถอนภายใน 2 เดือน ทั้งจากอดีตนายกฯ และอดีตรัฐมนตรีในรัฐบาลทักษิณ ก่อนจะมาได้คืนในยุคของนายนพดล ปัทมะ เป็นรมว.ต่างประเทศ

ต่อมาเมื่อเกิดเหตุการณ์ 11 เม.ย. 2552 กลุ่มคนเสื้อแดงนำโดยนายอริสมันต์ พงศ์เรืองรอง ล้มการประชุมอาเซียน ซึ่งไทยเป็นเจ้าภาพจัดขึ้นที่พัทยา เป็นเหตุให้รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ   สั่งถอนพาสปอร์ตทุกเล่มของพ.ต.ท.ทักษิณ  ด้วยเหตุผลอยู่เบื้องหลังการเคลื่อนไหวของกลุ่มเสื้อแดง

โดยเป็นไปตามระเบียบของกระทรวงการต่างประเทศว่าด้วยการออกหนังสือเดินทาง พ.ศ.2548 การยกเลิกหนังสือเดินทาง ข้อ 23 (7) ซึ่งระบุว่า สามารถยกเลิกและเรียกคืนหนังสือเดินทางได้ โดยมีนายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีต่างประเทศในขณะนั้นเป็นผู้ลงนาม
อย่างไรก็ตามแม้พ.ต.ท.ทักษิณจะถูกยกเลิกพาสปอร์ตไปตั้งแต่ปี 2552 แต่ในรอบ 2 ปีที่ผ่านกลับปรากฎภาพการเดินทางไปประเทศต่างๆอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ก็เป็นเพราะพ.ต.ท.ทักษิณได้ใช้วิธีการเปลี่ยนชื่อและถือสัญชาติอื่นเพื่ออาศัยเป็นช่องทางการเดินทางเข้าประเทศต่างๆ

ยกตัวอย่างเช่นการเข้าไปลงทุนในประเทศมอนเตเนโกร เพื่อแลกกับสัญชาติใหม่ เพื่อให้ได้สิทธิเซงเก้นวีซ่าเพื่อเดินทางไปยังประเทศสมาชิกในภาคพื้นยุบโรป รวมไปถึงการใช้ชื่อที่ 2 ว่า มิสเตอร์ซีเนกร้า ในการเดินทางเยือนประเทศต่างๆ

นับตั้งแต่รัฐบาลพรรคเพื่อไทยชนะการเลือกตั้ง ความพยายามที่จะช่วยเหลือพ.ต.ท.ทักษิณ ด้วยการคืนหนังสือเดินทางก็ปรากฎขึ้น ตั้งแต่ยังไม่ทันเริ่มแถลงนโยบายต่อสภาด้วยซ้ำโดยเฉพาะการตั้งข้อสังเกตจากสังคมถึงโฉมหน้ารัฐมนตรีต่างประเทศว่าถูกคัดเลือกมาจากความเหมาะสมหรือว่าเป็นเพราะมีความใกล้ชิดกับพ.ต.ท.ทักษิณเป็นพิเศษในฐานะญาติห่างๆ

หากจำกันได้ทันทีที่นายสุรพงษ์เข้ารับตำแหน่งรัฐมนตรีต่างประเทศ ก็ปรากฎข่าวสารว่า มีกระบวนการพิจารณาคืนพาสปอร์ตให้กับพ.ต.ท.ทักษิณทันทีต่อด้วยการที่รัฐมนตรีว่าการกระต่างประเทศเชิญทูตญี่ปุ่นเข้าพบ ซึ่งหลังจากนั้นไม่กี่วันพ.ต.ท.ทักษิณก็ได้รับการตอบรับให้เดินทางเข้าญี่ปุ่น

ซึ่งในเวลาต่อมาได้รับการเปิดเผยจากรัฐบาลญี่ปุ่นว่ารัฐบาลไทยเป็นฝ่ายร้องขอให้พ.ต.ท.ทักษิณเข้าญี่ปุ่นขณะที่นายสุรพงษ์เองก็ได้ยอมรับกับสื่อมวลชนเมื่อวันที่ 15 สิงหาคมว่า ได้เชิญทูตญี่ปุ่นเข้าพบเพื่อหารือถึงการออกวีซ่าให้พ.ต.ท.ทักษิณเข้าญี่ปุ่นท่ามกลางการตั้งคำถามของคนไทยทั้งประเทศว่า แทนที่รัฐบาลจะติดตามจับกุมตัวพ.ต.ท.ทักษิณในฐานะนักโทษหลบหนีคดี แต่กลับส่งเสริมสนับสนุนให้เข้าประเทศญี่ปุ่น เข้าข่ายการละเว้นการปฎิบัติหน้าที่ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157

ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อวันที่ 9 กันยายน ในโอกาสที่นายสุรพงษ์พบปะกับบรรดาสื่อมวลชนประจำกระทรวงการต่างประเทศ ก็ได้พูดถึงเรื่องพาสปอร์ตแดงอย่างมีนัยยะสำคัญว่าตอนนี้ยังไม่สามารถทำได้ แต่ถ้าการขอพระราชทานอภัยโทษเสร็จสิ้นแล้วผลปรากฏว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ได้รับพระราชทานอภัยโทษ หรือถือว่าไม่มีความผิดแล้ว และในระเบียบระบุว่าอดีตนายกฯและรัฐมนตรีว่าการสามารถถือพาสปอร์ตสีแดงได้ ดังนั้นรัฐบาลชุดนี้ก็อาจเป็นไปได้ที่จะพิจารณาคืนพาสปอร์ตสีแดงให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ต่อไป

เรียกว่าเอาจนได้สำหรับรัฐมนตรีสุรพงษ์ในการช่วยเหลือพ.ต.ท.ทักษิณ แต่เรื่องอาจไม่จบเท่านี้เพราะฝ่ายค้านได้เตรียมหยิบยกเรื่องนี้เป็นประเด็นการถอดถอนนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ

นายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ เรียกร้องให้กระทรวงการต่างประเทศ เปิดเผยขั้นตอนการทำหนังสือเดินทาง ให้ พ.ต.ท.ทักษิณ โดยได้นำเอกสารที่เป็นหมายศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ส่งมาถึงปลัดกระทรวงการต่างประเทศ เมื่อวันที่ 15 ส.ค. 2551 ระบุ ไม่ให้ พ.ต.ท.ทักษิณ เดินทางออกนอกประเทศ และหมายจับที่ส่งมาจากศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองไปถึงผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เมื่อวันที่ 13 ส.ค.2551 มาแสดงด้วย ซึ่งการระบุดังกล่าว ตามระเบียบของกระทรวง พ.ต.ท.ทักษิณ จะต้องอยู่ในบัญชีดำ ซึ่งหมายความว่าจะไม่สามารถทำหนังสือเดินทางได้

ขณะที่นายสุรพงษ์ตอบโต้ว่า “ไม่ถามแล้วนะผมไม่พูดเรื่องนี้แล้ว ผมยืนยันว่าทำทุกอย่างตามระเบียบ ถ้าท่านจะเอาผิดก็ไปเอาผิดกัน ไปสู้กันในศาลแค่นั้นจบ”

นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย ยืนยันว่าการคืนพาสปอร์ตเป็นการคืนความเป็นธรรมและเป็นไปตามหลักประชาธิปไตย โดยพรรคเพื่อไทยเตรียมฟ้องกลับ กรณีที่พรรคประชาธิปัตย์จะยื่นถอดถอนน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ในกรณีดังกล่าวด้วย เนื่องจากเป็นคนละส่วนกัน นอกจากนี้ได้เสนอแนะให้พรรคประชาธิปัตย์ใช้ช่องทางในการตั้งกระทู้สดเพื่อถามนายสุรพงษ์ ในวันประชุมสภานิติบัญญัติวันที่ 21 ธ.ค.นี้

ต้องติดตามกันต่อไปสำหรับการคืนพาสปอร์ตให้พ.ต.ท.ทักษิณ เพราะถึงแม้ว่าจะเป็นการทำตามระเบียบทุกขั้นตอน แต่ถึงอย่างไรก็นับเป็นการตอบโจทย์ว่ารัฐบาลชุดนี้ได้มีความพยายามที่จะช่วยเหลือพ.ต.ท.ทักษิณ อย่างชัดเจน และที่สำคัญเรื่องนี้ก็เกิดขึ้นในช่วงที่คนไทยกำลังทุกข์ทรมานกับปัญหาน้ำท่วมด้วย…เป้าหมายต่อไปก็อยู่ที่การพาพ.ต.ททักษิณ กลับประเทศแล้วล่ะสิ ท่านนายก?

การแสดงความเห็นถูกปิด